- Line
ปลาพลวงชมพู ชาวบ้านตำบลลิพัง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง เพาะเลี้ยงปลาพลวงชมพูหรือปลากือเลาะที่กินได้ทั้งเกล็ด เพื่อไว้บริโภคในครัวเรือนมานานกว่า 10 ปี แต่เพิ่งรู้ว่ามันเป็นปลาหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ พบริมเชิงเขาและตามน้ำตกต่าง ๆ โดยมีราคาดีกิโลกรัมละตั้งแต่ 2,000-3,000 บาท จึงเร่งเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านริมเทือกเขาบรรทัด
ปลาพลวงชมพู : วันที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บ้าน เลขที่22/5 หมู่ที่ 5 ต.ลิพัง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งเป็นบ้านของนายสมโชค สงนวล อายุ 58 ปี ได้มีการเพาะเลี้ยงปลาพลวงชมพูหรือปลากือเลาะ เพื่อไว้บริโภคในครัวเรือนมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยหาลูกพันธุ์มาจากแหล่งน้ำตกใกล้บ้าน ซึ่งอยู่ติดกับเทือกเขาบรรทัด นำไปเลี้ยงจนได้ขนาด ก่อนจะนำมาทำอาหารหลากหลายเมนู แต่เมื่อปี 2562
ล่าสุดบริษัทประชารัฐรักสามัคคีตรัง เข้ามาทำโครงการวิจัย และพบว่าเป็นปลาพลวงชมพูชนิดเดียวกับที่พบในอำเภอเบตง จ.ยะลา เป็นปลาน้ำจืดในตระกูลปลาตะเพียนหรือบางแห่งเรียกว่าปลาเวียน เป็นปลาที่หายากและใกล้สูญพันธุ์สามารถนำไปทอดกรอบแล้วกินได้ทั้งเกล็ด แตกต่างจากปลาทั่วไป เนื่องจากเกล็ดมีลักษณะอ่อนนิ่มมาก
นายสมโชค สงนวล ได้เพาะเลี้ยงไว้ได้ประมาณ 1,000 ตัว อายุตั้งแต่ 4-7 เดือน ทำบ่อพลาสติกลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ใส่ท่อไว้หลาย ท่อ เพื่อให้ปลาหลบซ่อนตัว ใช้น้ำจากภูเขาไหลผ่านบ่อต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 5 บ่อ แต่หากเลี้ยงครบ 1 ปี ปลาพลวงชมพูจะมีน้ำหนักตัวละประมาณ 1 กิโลกรัม โดยมีราคาขายสูงถึงกิโลกรัมละตั้งแต่ 2,000-3,500 บาท และหากส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ฮ่องกงและมาเลเซียจะมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 5,000-6,000 บาท ซึ่งขณะนี้เกษตรกรยังรอขุดบ่อเพิ่มเพื่อขยายพันธุ์ปลาให้มากขึ้น
บริษัทประชารัฐรักสามัคคีตรังกำลังเข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรที่อยู่ริมเทือกเขาบรรทัด รวมกลุ่มกันเพาะเลี้ยงปลาพลวงชมพูเกรดพรีเมี่ยม เพื่อให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ ที่สร้างงานสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ เนื่องจากมีสายน้ำจากเทือกเขาบรรทัดไหลผ่าน ทำให้น้ำใสสะอาด ปลาเนื้อแน่น โตเร็วไม่มีกลิ่นคาว ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ
เหมาะสำหรับเป็นที่อาศัยอยู่ปลาพลวงชมพูเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านมีการรวมกลุ่มกันเพาะเลี้ยง แต่เนื่องจากปลาพลวงชมพู ออกไข่น้อยและอัตราการรอดน้อย ชาวบ้านจึงอยากให้กรมประมงมาช่วยผสมเทียมหรือเพาะขยายพันธุ์ให้ เพื่อกระจายให้กับชาวบ้านนำไปเลี้ยงให้แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะในโซนน้ำตกบริเวณป่าเทือกเขาบรรทัด ไล่ตั้งแต่อำเภอปะเหลียน อำเภอย่านตาขาวและอำเภอนาโยง จะได้มีอาชีพที่มั่นคงนอกเหนือไปจากการทำสวนยางพารา
ซึ่งปลาพลวงชมพูยังสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้ด้วย นอกจากนี้ พบว่าชาวบ้านยังเลี้ยงปลาพลวงทอง พลวงหิน ปลาชะโอนหิน ปลาหวดและปลาน้ำจืดหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ไว้อีกหลายชนิด
โดยนายสมโชค สงนวล ผู้เลี้ยงปลาพลวงชมพูกล่าวว่า ตนเลี้ยงปลาพลวงชมพูมาประมาณ 1 ปี แต่ก่อนหน้านี้เลี้ยงมา 10 ปี แล้วมีอยู่ประมาณ 1,000 ตัว เริ่มแรกก็เพื่อบริโภคในครัวเรือน รสชาติดี ราคาขายในตลาดตนไม่รู้แต่รู้ว่าใน 3 จังหวัดบอกว่ากิโลกรัมละ 2,000-3,500 บาท แต่ตนยังไม่เคยได้ขาย
นอกจากนี้มีปลาชะโอนหินซึ่งราคาขายกิโลกรัมละ 300 บาท และหากินได้ ตอนนี้อยากจะขยายบ่อแต่ยังไม่มีงบ หากได้บ่อจะเลี้ยงเพิ่มอีกเยอะ ซึ่งตอนนี้มีเกษตรกรสอบถามเข้ามาเยอะมาก และมองว่าน่าจะเป็นรายได้เสริมที่ดีอีกทางหนึ่งด้วย โดยน้ำไม่ต้องบำบัดเพราะเป็นน้ำธรรมชาติที่สะอาด บริสุทธิ์.