12 มิ.ย. 2564 ที่ สภ.หาดสำราญ จ.ตรัง ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอหาดสำราญ กว่า 300 ชีวิต ต่างทยอยเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.หาดสำราญ หลังถูกออกหมายเรียกพยานครั้งที่ 1 เพื่อทำการสอบปากคำ สืบเนื่องจากข้อความในหมายเรียก ระบุความอาญา ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นายรัชชานนท์ ขุนพรม เป็นผู้รับมอบอำนาจ ได้เป็นผู้กล่าวหายื่นฟ้องผู้ต้องหา คือ โรงแรมแห่งหนึ่ง ต.พิมาน อ.เมืองสตูล สตูล พร้อมพวก และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย น.ส.ภัทราภรณ์ วิมลรัตน์ เป็นผู้รับมอบอำนาจ ผู้กล่าวหายื่นฟ้องผู้ต้องหา คือ โรงแรมแห่งหนึ่ง ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล โดย นางอาภรณ์ (สงวนนามสกุล) กับพวก
หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันฉ้อโกงเบิกเงินรัฐในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดยการนำชื่อ เอกสารของชาวบ้านไปแอบอ้าง ทั้งที่ไม่มีการนำชาวบ้านไปเที่ยว หรือเข้าไปพักในโรงแรมจริง โดยในวันนี้ชาวบ้านที่ถูกออกหมายเรียก มีทั้งรายที่เคยนำเอกสารไปยื่นเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยได้ยื่นเอกสารสมัคร แต่กลับมีชื่อ จนทำให้ชาวบ้านต่างวิตกกังวลว่าจะมีส่วนในการร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่
น.ส.นันทนา รักษ์ไทย หรือ สาว อายุ 41 ปี ชาว ม.1 ต.ตะเสะ อ.หาดสำราญ กล่าวว่า ตนเองก็ตกใจหลังที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายเรียกให้มาเป็นพยานถึงบ้าน พร้อมทั้งสอบถามว่าเคยได้ไปเที่ยว 2 โรงแรมตามที่ปรากฏชื่อหรือไม่ ตนก็เลยยืนยันไปว่าไม่เคยได้ไป และยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ เพราะมีชื่อไปปรากฏอยู่ว่าเคยไปเที่ยวเข้าร่วมกับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และทางตำรวจยังได้ถามอีกว่าเคยเอาเอกสารสำคัญ หรือบัตรประจำตัวไปให้กับใครบ้าง แต่ก็ยืนยันว่าไม่เคย แต่มีอยู่ว่า ตนเองได้นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปตั้งไว้ที่ร้านของ “เจ๊นา” ซึ่งเป็นร้านมินิมาร์ทอยู่ในพื้นที่ เลยน่าจะถูกนำเอาบัตรดังกล่าวไปใส่ชื่อเข้าร่วมในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” จนทำให้ถูกหมายเรียกให้มาเป็นพยานในครั้งนี้ และขอยืนยันว่าไม่เคยได้ไปเที่ยวหรือได้รับเงินเลย ทุกวันทำงาน และเลี้ยงลูก แต่กลับมาถูกตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว โดยในครั้งนี้ตนไม่ยอมอย่างแน่นอนขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยให้คนอื่นต้องตกเป็นเหยื่อกลโกงอีก
ขณะที่ นายรักคุณากร สามทอง หรือศรี อายุ 48 ปี ชาว ม.4 ตะเสะ อ.หาดสำราญ กล่าวว่า ตนขอความเป็นธรรมผ่านผู้สื่อข่าวด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ค.63 ที่ผ่านมา ตนได้ยินว่า “เจ๊นา” มาประกาศกับชาวบ้านว่าทางรัฐบาลจะมีการช่วยเหลือเงินให้กับชาวบ้านคนละ 50,000 บาท ตนก็เลยได้เข้าไปหานางมา (ไม่ทราบชื่อ-สกุล) ซึ่งเป็นพรรคพวกกับ “เจ๊นา” เพื่อสอบถามโดยที่ นางมา ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เป็นโครงการจิตอาสาพอเพียง ถ้าใครอยากได้เงินจำนวน 50,000 บาท ก็ให้นำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และบัญชีมาให้ ตนด้วยความที่อยากเข้าร่วม ก็เลยรวบรวมเอกสารทั้งของตนและของญาติพี่น้องเพื่อนำไปให้กับนางนา รวมทั้งชาวบ้านคนอื่นๆด้วย แต่นางมาบอกว่าไม่รับเอกสาร โดยให้ไปยื่นโดยตรงกับ “เจ๊นา” ตนก็เลยฝากน้องสาวไปยื่น จากนั้นเป็นตนมาเรื่องก็เงียบไปโดยที่ไม่ได้รับความคืบหน้า จนกระทั่งมีหมายเรียกให้มาเป็นพยานถึงที่บ้านและเดินทางเข้ามาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่วันนี้ และยืนยันว่าไม่เคยได้รับเงินใดๆ หรือเข้าไปพักที่โรงแรมใด แถมหมายเลขมือถือของตนถูกยืนยันว่ามีการเบิกถอนเงินไปแล้ว ทำให้ตนไปตรวจสอบกับทางธนาคารแต่ปรากฏว่าไม่เคยมีเงินในส่วนดังกล่าวเข้ามาในบัญชี ตนก็หวั่นใจเหมือนกันที่ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำตกเป็นเหยื่อ วอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือชาวบ้านด้วย
อย่างไรก็ตามรายงานข่าวระบุว่า คดีดังกล่าวทาง สภ.หาดสำราญ ได้รับเรื่องมาจากส่วนกลาง เพื่อให้ทำการสอบปากคำพยาน และจะต้องรวบรวมส่งเข้าไปยังส่วนกลางในวันที่ 14 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศไทย ส่งผลทำให้รัฐเสียหายกว่าหลายล้านบาท สำหรับ “เจ๊นา” ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้เดินทางมารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนแล้ว แต่ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่ายังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่อีกหรือไม่ และคาดว่าน่าจะมีผู้อิทธิพล เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวอีกจำนวนหนึ่ง ข่าวคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป.
ถนอมศักดิ์ หนูนุ่ม ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จังหวัดตรัง