ปีพุทธศักราช 2564 นี้ จะเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นปีที่ห้าแล้ว ในการระบุวันเวลาในทางราชการก็จะระบุว่าปีนี้เป็น
ปีที่ห้าในรัชกาลปัจจุบัน และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 ใกล้จะเวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
จึงเป็นวันเวลาที่ปวงชนชาวไทยที่มีความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์จะได้คิดอ่านร่วมกันแบบต่างคนต่างคิดโดยอิสระว่าในวันเวลาวาระอันเป็นมหามงคลยิ่งนี้ในฐานะผู้จงรักภักดีเราจะพึงกระทำการใดเป็นกตเวทิตาธรรมสนองพระเดชพระคุณให้ปรากฏไว้ในแผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติในห้วงเวลาที่สถานการณ์โดยทั่วไปของโลก ภูมิภาค และประเทศไทย กำลังอยู่ในช่วงของวิกฤติและการเปลี่ยนแปลงใหญ่ และเป็นสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเหตุการณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และที่ 6
ในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 และที่ 6 นั้นมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองที่หวุดหวิดจะทำให้ประเทศไทยสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินตามรอยประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้
ในยุคสมัยนั้นไม่ว่าอินเดีย พม่า กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ โดยเรียกยุคสมัยนั้นว่ายุคแห่งการล่าอาณานิคม
ที่น่าแปลกประหลาดใจก็คืออังกฤษซึ่งเป็นประเทศเกาะเล็กๆ อยู่ไกลโพ้นถึงทวีปยุโรป แต่กลับสามารถล่าอินเดีย พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นเมืองขึ้นได้
แม้ฝรั่งเศสก็เช่นกัน สามารถล่าเอาเวียดนาม ลาว กัมพูชา เป็นเมืองขึ้นได้อย่างง่ายดาย กระทั่งสามารถเป็น 2 ในกลุ่ม 8 ประเทศ ที่เข้ายึดครองในรูปแบบของการเช่าดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของประเทศจีนด้วย
ดังนั้นจึงประมาทการล่าอาณานิคมและนักล่าอาณานิคมไม่ได้โดยเด็ดขาด
แต่ทว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในย่านนี้ที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคม แต่ต้องเสียดินแดนจำนวนมากด้านฝั่งขวาแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศส และตลอดแหลมมลายู โดยเฉพาะกลันตันตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และปีนัง รวมทั้งทวาย ตะนาวศรี ให้แก่อังกฤษ
เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทุกข์ตรมพระทัยปิ่มว่าจะสิ้นพระชนม์ ดังที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาไปถึงพระราชโอรสซึ่งกำลังทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษว่าพระราชธุระในครั้งนั้นหนักหนามาก ปิ่มว่าได้เทินอยู่บนพระมหาพิชัยมงกุฎที่ถึงขนาดพระเศียรของพระองค์จะไม่สามารถรับเอาไว้ได้
แต่ประเทศไทยก็สามารถอยู่รอดปลอดภัยมาได้ก็ด้วยเหตุผลสำคัญสี่ประการ
ประการแรก ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และที่ 4 ที่ทรงเตือนไว้ล่วงหน้าแล้วว่านับแต่นั้นการศึกข้างพม่า ลาว เขมร ญวน จะไม่มีแล้ว แต่จะมีอันตรายมาจากประเทศตาน้ำข้าวจากด้านตะวันตก ขอให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางข้าราชการทั้งปวงเตรียมความพร้อมเพื่อการรับมือ จึงเป็นเหตุให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และที่ 5 ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจนเป็นพระมหากษัตริย์เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ไม่กลัวฝรั่งและสามารถรับสั่งเป็นภาษาอังกฤษกับฝรั่งได้ ตลอดจนทรงจ้างที่ปรึกษาฝรั่งจากหลายประเทศมาเป็นที่ปรึกษาด้วยค่าจ้างอันแพงลิ่วถึงเดือนละ 80 บาทต่อคน จึงเป็นเหตุให้ประเทศไทยได้เรียนรู้วิธีที่จะเอาตัวรอดปลอดภัยได้
ประการที่สอง ด้วยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงปรับเปลี่ยนข้อตกลงที่เสียเปรียบทั้งหลายให้เป็นผลดีแก่ประเทศไทย เปลี่ยนสภาพที่ถูกบังคับเป็นเชิงรุกอย่างทั่วด้าน ดังเช่นสนธิสัญญาเบาว์ริ่งที่บังคับขับไสประเทศไทยอย่างหนัก ก็ทรงปรับเปลี่ยนให้เป็นผลดีเชิงรุก เช่น การเปิดประเทศ การทำให้สยามเป็นศูนย์กลางการค้ากับฝรั่ง จีนและประเทศในสุวรรณภูมิ ทำให้สยามรุ่งเรืองที่สุดในย่านนี้ เศรษฐกิจแข็งแกร่งที่สุด ขนาดเงิน 1 บาทไทยมีค่าเท่ากับ 2 ปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
ประการที่สาม การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยทั้งในส่วนการปฏิรูปการเมือง การปกครอง ระบบกฎหมายและระบบการยุติธรรม ตลอดจนการปฏิรูปกองทัพให้เป็นแบบทันสมัย ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าสูงสุดในยุคนั้น ที่สำคัญคือการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติสองแนวทาง คือ การสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางเกษตรอุตสาหกรรม และการสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมบริการ อันเป็นรากฐานของการปฏิรูประบบการคมนาคมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้
ประการที่สี่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 คือสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยพระปรีชาสามารถและความสมบูรณ์พร้อมแห่งการหยั่งทราบศักยะสงครามของทุกฝ่าย จึงทรงตัดสินใจเลือกยืนข้างกลุ่มสัมพันธมิตร และทรงประกาศสงครามกับฝ่ายตรงกันข้าม ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการประกาศสงครามแบบสายตาสั้นและโง่เขลาในยุคของจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยไม่ฟังคำทัดทานของนายปรีดี พนมยงค์ซึ่งรับสนองรับสั่งของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าซึ่งทรงรอบรู้ด้านการต่างประเทศตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นอย่างดีซึ่งหวุดหวิดจะทำให้ประเทศไทยต้องแพ้สงคราม
ยุคสมัยที่เคยเกิดขึ้นแต่ครั้งกระโน้นกำลังปรากฏโฉมว่ากำลังจะเป็นเหตุการณ์ซ้ำรอยในยุคปัจจุบัน ซึ่งถ้าตั้งความสังเกตด้วยสติปัญญาและความตรองอย่างลึกซึ้งแล้วก็จะเห็นมหันตภัยที่กำลังจะกล้ำกรายเข้ามา
ในวาระโอกาสเช่นนี้จึงเป็นห้วงเวลาอันสมควรอย่างยิ่งที่ปวงชนชาวไทยจะสามัคคีพร้อมใจสมานฉันท์ถวายความจงรักภักดีบำรุงพระทัยแก่พระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นธงชัยในการนำพาประเทศชาติให้รอดปลอดภัยในยามวิกฤตินี้