ในวัยเด็กเราเป็นคนบ้านนอก เมื่อหกสิบปีที่แล้วจังหวัดตรังมีโรงพยาบาลในตัวจังหวัดแห่งเดียวคือ โรงพยาบาลควนหาญ ไม่มีโรงพยาบาลอำเภอ ไม่มีโรงพยาบาลตำบล ไม่มีคลินิก มีแต่สิ่งที่เรียกว่าสุขศาลา ที่นั่นมีแอสไพริน ยาประสระนอแรดยาทันใจ ไว้ให้ประชาชนไปกินลดอาการป่วยไข้
ประชาชนเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษากันไปตามมีตามเกิด นอกจากหมอพื้นบ้าน หมอผี แล้วก็มีสมุนไพรที่รักษากันไปหายบ้างตายไปบ้าง
ตั้งแต่วัยเด็กเราได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดกันว่าจีนเขามียาดี ในสมัยนั้นนอกจากสมุนไพรพื้นบ้านแล้วสิ่งที่ผู้คนต้องการคือเครื่องยาจีน และบังเอิญมีอาแปะแก่ๆ มาเปิดร้านรับซื้อยางแผ่น เศษยาง (ขี้ยาง)อยู่ข้างบ้าน เราเห็นอาแปะมีสมุนไพรยาจีนอยู่ในตู้ (เป็นไม้แห้งสับเป็นชิ้นเล็กๆ) ใส่โหลไว้มากมาย ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมาขอ แกก็แบ่งให้และบอกสูตรให้ไปฝนไปต้มกินเองบางคนก็หายจากอาการไข้
ตั้งแต่นั้นมาเราฝังใจเชื่อว่ายาจีนดีกว่ายาที่รับมาจากสุขศาลาและพอเติบโตขึ้นมาก็ได้อ่านตำราการรักษาอาการไข้ในพงศาวดารสามก๊ก เรื่องหมอฮัว โต๋ที่เปรียบราวกับหมอเทวดาซึ่งสามารถรักษาอาการปวดหัวจนแทบเป็นบ้าของโจโฉได้ ว่ากันว่าพอ หมอฮัว โต๋ ลงมือรักษาทีไรอาการปวดหัวของโจโฉก็ทุเลาหรือหายในทันใด แต่หมอฮัว โต๋ ไม่อยากรักษาแบบเลี้ยงไข้นานเกินไปเลยบอกโจโฉ ว่า ถ้ารักษาให้หายขาดต้องผ่าหัว (ผ่าตัดสมองสมัยนั้นคงเรียกว่าผ่าหัว)
โจโฉ ไม่ยอมให้หมอผ่าหัว หมอก็ไม่อยากรักษาอยู่นานเลยออกอุบายว่า ภรรยาไม่สบายขอลากลับบ้านไปดูอาการภรรยา เมื่อหมอฮัว โต๋ หายไปหลายวัน โจโฉก็ส่งคนไปสืบข่าวได้ความว่าภรรยาหมอฮัว โต๋ ไม่ได้ป่วยไข้ตามที่หมออ้าง โจโฉเลยระแวงว่าที่จะผ่าหัวรักษาอาการปวดหัวให้หายนั้นเป็นแผนการที่หมอฮัว โต๋ จะฆ่าเขา เลยสั่งให้เอาหมอฮัว โต๋ ไปฆ่า ก่อนตายหมอฮัว โต๋ มอบตำรายาและวิธีรักษาให้ผู้คุม แต่ผู้คุมไม่กล้ารับไว้เพราะโทษในยุคนั้นรุนแรงมากถึงตาย
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฝังใจเชื่อว่ายาจีนดีกว่ายาฝรั่ง เมื่อเอาความเชื่อตั้งแต่วัยเด็กมาเปรียบเทียบกับโรคอุบัติใหม่คือไวรัสโคโรนาหรือที่มีชื่อใหม่ว่าโควิด-19 ซึ่งมีสถิติบ่งชี้ว่า วัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ที่ผลิตในประเทศจีน ดีกว่าวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาของฝรั่ง อันดับแรกเปรียบเทียบสถิติประชากรกับการฉีดวัคซีนป้องกันและการรักษา
จีนมีประชากรกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านกว่าคน จีนได้ฉีดวัคซีนส่วนใหญ่เป็นซิโนแวคกับซิโนฟาร์มให้ประชากรไปแล้ว 1.3 พันล้านโดส ถึงวันนี้จีนควบคุมการแพร่ระบาดได้ในวงจำกัดคือ มีคนติดเชื้อใหม่ไม่เกินหมื่นคนต่อวัน ตัวเลขคนป่วยสะสมตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่ถึงแสนคน มีคนตายสะสมไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน
สหรัฐอเมริกามีประชากรประมาณ 320 ล้านคนสหรัฐฯ ได้ฉีดวัคซีนให้ประชากรไปแล้วกว่า 70% ในจำนวนนี้ได้ฉีดเข็มสามที่เรียกว่า Booster แล้ว 10% และฉีดครบสองโดสแล้ว 50% แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมามีคนติดเชื้อใหม่ในอเมริกาเป็นหลักแสนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว มีคนตายหลักหมื่นหลักพันทุกวัน
ทำให้สหรัฐฯรักษาสถิติคนป่วยคนตายมากที่สุดในโลก คือมีคนตายสี่แสนหกหมื่นกว่าคน มีคนติดเชื้อสะสมสูงถึงกว่า 34 ล้านคน ซึ่งสหรัฐฯส่วนใหญ่ใช้วัคซีนไฟเซอร์กับโมเดอร์นา
ผู้เขียนไม่มีความรู้เรื่องวัคซีนเรื่องยา แต่มีความเชื่อมาแต่วัยเด็กประกอบกับสถิติที่เห็นทุกวันนี้ไม่ต้องบอกก็พอเข้าใจได้ว่าวัคซีนจีนกับวัคซีนฝรั่งผู้เขียนให้ความมั่นใจฝ่ายไหน
พูดถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ดูจากสถิติสองสัปดาห์นี้ พบว่าตัวเลขคนติดเชื้อใหม่ค่อยๆ ลดมาจากสองหมื่นปลายใกล้แตะสามหมื่นคน ค่อยๆ ลดลงมาเหลือหนึ่งหมื่นสี่พันกว่ารายและมีแนวโน้มจะลดลงไปตามลำดับ
คนป่วยที่รักษาหายมีตัวเลขมากขึ้นกว่าคนป่วยติดเชื้อใหม่ และตัวเลขคนหายป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ คนป่วยที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลลดลงจากสองแสนปลายๆมาเหลือหนึ่งแสนต้นๆ จากตัวเลขคนป่วยสะสมหนึ่งล้านหนึ่งหมื่นกว่าคน มาวันนี้คนไข้รักษาหายแล้วเก้าแสนเก้าหมื่นกว่าคนส่วนผู้เสียชีวิตก็อยู่ในระดับหมื่นต้นๆ
ดังนั้นเมื่อ สส.ศุภชัย ใจสมุทร โพสต์ข้อความว่า “ขยับเข้าใกล้เป้าหมาย 100 ล้านโดส เราในฐานะผู้รับวัคซีนจึงมั่นใจว่า ประเทศไทยทำได้ถึงเป้าหมาย คือ ฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้
และมั่นใจมากขึ้นเมื่อ สว.สมชาย แสงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภคโพสต์ข้อความว่า #วัคซีนมีพอฉีดคนไทยทั้งประเทศ #เลิกด้อยค่าวัคซีนกันเถอะครับ
“ตัวเลขการเร่งฉีดวัคซีนทะลุเกิน 30 ล้านโดสอย่างรวดเร็ว เพิ่มขึ้นสูงถึงวันละ 6-7 แสนโดส เป็นผู้ได้รับเข็ม 1 แล้ว เกือบ 22 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 30และเข็ม 2 แล้ว กว่า 6.5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 9.2
แสดงถึงประสิทธิภาพของบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครและคนไทยที่พร้อมร่วมแรงร่วมใจกันเข้ารับวัคซีน” แม้จะมีความขลุกขลักอยู่บ้างในการสั่งซื้อและการจัดสรรวัคซีนในช่วงแรก และถูกบุคคลบางกลุ่มพยายามด้อยค่าปั่นเฟคนิวส์ ทำให้หลายคนกลัวไม่กล้าฉีด และหลายคนป่วยและเสียชีวิตไป เท่าที่ตรวจสอบติดตามเชื่อมั่นครับว่า ตั้งแต่ ก.ย.จนถึงสิ้นปี 2564 ประเทศไทย จะสามารถเร่งสั่งซื้อและจัดสรรวัคซีนที่เตรียมการไว้ 100-130 ล้านโดสฉีดให้กับคนไทยแทบทุกคน จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity)ได้ทั้งประเทศ ด้วยเหตุผลการมีวัคซีนสนับสนุนดังนี้
1)วัคซีคแอสตราเซเนกา ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าในสิ้นปีนี้จะส่งมอบให้ไทยครบ ทั้ง 61 ล้านโดสโดยจะส่งมอบในเดือน ก.ย. นี้ 7.2 ล้านโดส หากหักจากยอดรวมกับที่ไทยได้รับมาแล้ว เดือน ต.ค. พ.ย.ธ.ค. ก็น่าจะมีวัคซีนแอสตราฯ เดือนละ 10-12 ล้านโดส
2)วัคซีนซิโนแวค ที่รัฐบาลสั่งซื้อเพิ่มอีก12 ล้านโดส เพื่อฉีดเป็นเข็ม 1 ของสูตร ไขว้ SV+AZ ในเดือน ก.ย. 6 ล้านโดส และต.ค. 6 ล้านโดส
3)วัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ที่จะทยอยส่งมอบเดือน ก.ย. 2 ล้านโดส ต.ค. 8 ล้านโดสพ.ย. 10 ล้านโดส ธ.ค. 10 ล้านโดส
4)วัคซีนซิโนฟาร์ม ที่จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทยอยนำเข้ามาแล้ว และมีแผนจะนำเข้าต่อเนื่องรวม 10 ล้านโดส
5)วัคซีน โมเดอร์นา 5 ล้านโดส ที่องค์การเภสัชกรรมรับสั่งซื้อแทน รพ.เอกชน 4 ล้านโดสและสภาชาดไทย 1 ล้านโดส จะเริ่มส่งมอบได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้
6)วัคซีนที่คนไทยผลิตเอง อาทิ วัคซีนของจุฬา ChulaCov19 วัคซีนของมหิดลที่ร่วมกับองค์การเภสัช วัคซีนของบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม และวัคซีนไบโอเนท ซึ่งมีการทดลองคืบหน้ามากหากเป็นไปตามนี้ นับถึงสิ้นปี 2564
ประเทศไทยจะมีวัคซีนให้ได้ 100-130 ล้านโดสแน่นอน
ในส่วนของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค จะทำหน้าที่ประสานงานติดตามหน่วยงานที่รับผิดชอบในการสั่งซื้อนำเข้าและจัดสรรวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไปตลอด จนกว่าคนไทยจะเข้าถึงวัคซีนและเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) และนำประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในที่สุดครับ”
ผู้เขียนในฐานะผู้รับวัคซีนและผู้สังเกตการณ์จึงมั่นใจในระบบสาธารณสุขไทยที่ได้มาตรฐานสากลว่าเราต้องทำได้ และภาวะวิกฤตโควิด-19 ต้องทุเลาเบาลงในเร็ววัน เพราะสังเกตว่าทุกวันนี้คนไทยมีวินัยมากขึ้นไม่ว่าที่ไหนพบเห็นคนไทยสวมใส่หน้ากากอนามัยกันถ้วนหน้าหาคนไม่สวมหน้ากากอนามัยแทบไม่มี
สิ่งที่เพิ่มความมั่นใจคือเห็นคนไทยชักชวนเพื่อนๆ ที่ยังลังเลใจให้รีบลงทะเบียนฉีดวัคซีนให้ได้ วัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่เราได้ฉีดและเหมาะสมกับสภาวะของบ้านเรา วัคซีนที่ผลิตในประเทศจีนไม่ว่าซิโนแวคหรือซิโนฟาร์มสามารถเก็บรักษาได้ในตู้เย็นหรือตู้เก็บน้ำแข็งธรรมดาได้
ส่วนวัคซีนที่ผลิตจากตะวันตกและสหรัฐอเมริกา อาทิ ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ต้องเก็บรักษาในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิติดลบ 70 องศา จึงไม่สามารถนำไปใช้ได้ในบางพื้นที่
ดังที่ ดร.โด มินห์ ผู้อำนวยการ Nongen phamaceutical biotechnology ของเวียดนามกล่าวว่า
“..วัคซีนจากต่างประเทศ เช่น ไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา จำเป็นต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำมาก เมื่อมาถึงเวียดนามทำให้การเก็บรักษาและแจกจ่ายไปในที่ทุรกันดารยากลำบากมาก..ต้องมีวัคซีนที่เราผลิตเองเท่านั้นที่รับประกันคุณภาพได้ นี่เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ”
เวียดนามจึงกำลังเร่งระดมทุนและขอบริจาคเงิน 174 ล้านล้านล้านดอง เพื่อพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิดเองสองชนิด ได้แก่ covivax และวัคซีน Nanocovax ซึ่งอยู่ในการทดลองทางคลินิก
ดังนั้นถ้าถามผู้เขียนว่าวัคซีนชนิดไหนดีที่สุดสำหรับตัวเราเองก็ต้องตอบว่า “วัคซีนที่ทำจากประเทศจีน อันนี้ไม่ได้พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์แต่พิสูจน์จากสัญชาตญาณของผู้เขียน…”
สุทิน วรรณบวร







