วันเสาร์ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.
การอยู่ร่วมกันของต้นไม้ชนิดต่างๆ ในกระบะที่ผมจัดแสดง บ่งบอกชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตสารพัดชนิดที่อยู่ร่วมกันในสังคมมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน อาจจะในเชิงพึ่งพา หรือเชิงแข่งขันต่อสู้ แต่ทั้งหมดก็ต้องอยู่ร่วมกัน เปรียบเหมือนการมีปฏิสัมพันธ์ของคนในสังคมโลกของเรา
ไลฟ์ วาไรตี สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย ชวนคุณไปสนทนาเรื่องงานศิลปะกับธรรมชาติ กับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมพร แต้มประสิทธิ์ จากวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
l เรียนถามอาจารย์ นิทรรศการชื่อดิน ภูมิปัญญา สัมพันธภาพ สู่อัตลักษณ์ใหม่(Soil Wisdom Relationship to a new Identity)ต้องการบอกอะไรกับสังคมครับ
ผศ.ดร.สมพร : ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมเป็นคนจากชนบทคุ้นเคยกับดินและทุ่งนา ผมจึงให้ความสำคัญกับดินและสิ่งแวดล้อมมาก ผมศึกษาเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาโดยตลอด เพราะเชื่อและเห็นว่าเป็นความจริงที่ช่วยให้ประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัยจากวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันผมก็ลงไปคลุกคลีกับปราชญ์พื้นถิ่นผู้ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการทำงาน คืออาจารย์ประกิต จิตรใจภักดิ์ เกษตรกรดีเด่นจากจังหวัดตรัง เมื่อผมได้ข้อมูลเพียงพอ ผมจึงนำดินจากจังหวัดตรังมาใช้ในนิทรรศการนี้ โดยผสมกับแนวคิดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนมาประกอบการทำงาน งานนี้จึงแสดงออกถึงดิน พืช กลุ่มคนต่างๆ และธรรมชาติ ผมมองว่าสภาพแวดล้อมและธรรมชาติคือบริบทสำคัญของการดำรงอยู่ของมนุษย์ จากงานนี้ผมพบว่าเมื่อมีดินและมีความชุ่มชื้นพอเหมาะจากธรรมชาติ และจากการช่วยกันดูแลก็จะเกิดต้นไม้ต่างๆ ตามมา เหมือนที่เราพบเห็นในกระบะต้นไม้ที่ผมนำมาแสดง ซึ่งมีต้นไม้ต่างๆ ทั้งที่เราปลูก และขึ้นเอง เนื่องจากในดินมีเมล็ดพันธุ์ของพืชต่างๆ ผสมอยู่แล้ว
l เมื่อดูนิทรรศการของอาจารย์แล้ว หลายคนที่มีที่ว่างข้างๆ บ้านอาจจะบอกว่า ถ้าเช่นนั้นข้างบ้านของเราก็เป็นพื้นที่ทำงานศิลป์ทำนองเดียวกับอาจารย์ได้ อาจารย์ตอบเรื่องนี้อย่างไรครับ
ผศ.ดร.สมพร : ได้ครับ เพราะงานศิลปะคือสิ่งจรรโลงใจของผู้คน ทำให้จิตใจคนละเมียดละไมมากขึ้น ทุกๆ ที่ใช้สร้างงานศิลป์ได้ เพราะศิลปะคือธรรมชาติ มนุษย์ต้องอยู่กับธรรมชาติ ศิลปะทำให้คนเราหันกลับมามองสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ศิลปะในความคิดของผมคือธรรมชาติ งานของผมอาศัยสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เช่น พื้นดิน ส่วนสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชเหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งจากธรรมชาติ ถ้าเราใส่ใจดูแล มั่นคอยสังเกตธรรมชาติรอบๆ ตัวเรา เราจะเห็นความสำคัญของธรรมชาติ เห็นคุณค่า เห็นความงามและพบว่าสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติมีการอยู่ร่วมกัน เอื้อกันบ้าง แข่งขันแก่งแย่งกันบ้าง การที่เราดูแลธรรมชาติ รดน้ำต้นไม้ ดูแลดิน ก็คือการทำกิจกรรมอย่างหนึ่งของเรา และเป็นกิจกรรมที่มนุษย์สามารถร่วมกันทำได้ การใส่ใจกับธรรมชาตินำไปสู่การใส่ใจในมิติอื่นๆ ตามมา ยกตัวอย่างในครอบครัวของเราเราสามารถร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ พรวนดิน กำจัดวัชพืช หรือตัดแต่งกิ่ง ในเพาะช่างก็เช่นกัน ผมพยายามให้เพื่อนๆ อาจารย์ และนักศึกษาเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วยกัน จะได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกัน นี่คือเป็นพื้นที่สำหรับหลอมรวมให้สังคมมีความน่าอยู่ เกิดความงดงามในจิตใจ และสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้คน และก่อให้เกิดความรักธรรมชาติมากขึ้น
l ในงานของอาจารย์ต้องการบ่งบอกว่านี่คือความเป็นจริงในสังคมสิ่งมีชีวิตต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในรูปแบบต่างๆ ใช่ไหมครับ มันคือการสะท้อนความจริงของสังคม ใช่ไหมครับ
ผศ.ดร.สมพร : ธรรมชาติในพื้นที่ที่ผมสร้างขึ้นคือพื้นที่จำลอง แต่เป็นความจริง เพราะว่าพืชแต่ละชนิดต้องการจะมีชีวิตอยู่ ต้องการขยายพันธุ์ เหมือนกับสังคมมนุษย์และสัตว์ ในแต่ละชุมชนมีการอยู่ร่วมกัน มีการแย่งชิงกันบ้าง มีการส่งเสริมเอื้อกันบ้าง นี่คือการอยู่ร่วมกัน พืชแต่ละชนิดมีอัตลักษณ์ของมัน แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันก็จะต้องปรับตัวให้ผสมกลมกลืนกันกลายเป็นอัตลักษณ์ใหม่ ซึ่งผมนำมาเป็นชื่อนิทรรศการนี้ การศึกษาพื้นที่ที่ผมปลูกพืชนำไปสู่การศึกษาสังคม ทำให้เห็นมิติของสังคมที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
l ผมเห็นต้นข้าวกอใหญ่ที่ใกล้จะออกรวงแล้ว อาจารย์จะบอกอะไรกับงานนี้ครับ
ผศ.ดร.สมพร : ผมนำเมล็ดข้าวมาจากพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่จัด ณ ท้องสนามหลวงปีนี้ ผมไปท้องสนามหลวงเก็บเมล็ดข้าวจากพระราชพิธีกลับมาปลูก วันที่ผมไปในงานนั้น ผมเห็นสีหน้าของผู้คนเห็นบรรยากาศ เห็นสิ่งแวดล้อม ผมเห็นชัดว่าทุกอย่างในพระราชพิธีมีความเป็นมาอันบ่งบอกถึงรากเหง้าที่ลึกซึ้งของสังคมไทย เมล็ดข้าวที่ผมเก็บมา ผมมองว่าเป็นตัวแทนของเกษตรกร ส่วนพระราชพิธีนั้นคือพิธีกรรมของสังคมที่ให้คุณค่ากับการเกษตรไทย เราเห็นว่าข้าวมีพระคุณต่อเราทุกคนเราต้องให้ความเคารพ ต้องดูแลเอาใจใส่ ไม่ว่าจะในการปลูกข้าว หรือการนำข้าวไปรับประทานก็ต้องให้ความเคารพ เพราะข้าวมีบุญคุณกับเรา เราเติบโตได้ก็เพราะข้าว ผมนำข้าวจากพระราชพิธีมาปลูกเพื่อแสดงให้เห็นว่าข้าวคือ จิตวิญญาณอย่างหนึ่งของสังคมไทย คนไทยเคารพแม่พระโพสพ เรายกท่านเป็นเสมือนแม่ของเรา ข้าวเจริญเติบโตได้บนดินที่มีน้ำหล่อเลี้ยงให้ความอุดมสมบูรณ์ นี่คือการเอื้อกันระหว่างดิน น้ำ อากาศ และเมล็ดข้าว โดยมีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
l ธรรมชาติของดินกับอัตลักษณ์ต่างๆในนิทรรศการของอาจารย์ คือการบอกว่าดินนั้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกัน ก็จะมีความแตกต่างกันไป ใช่ไหมครับ
ผศ.ดร.สมพร : จริงๆ แล้วต้นทางของผลงานชิ้นนี้เกิดมาจากการตั้งคำถามกับผลงานจิตรกรรมต่างๆ เพราะเวลาเราดูภาพเขียน เราจะดูว่ากระบวนการของภาพเขียนมันมาจากการเอาดินและหินต่างๆ ไปบดผสมผสานกันจนได้สี แล้วนำไปป้ายลงบนเฟรม เพื่อให้เกิดเป็นรูปเหมือนจริงบ้าง แบบเรียลลิสติก แบบเซอร์เรียลลิสต่างๆ แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น สีของดินหรือสีของหินมันถูกนำมาใช้ในลักษณะที่เป็นภาพลวงตา เพื่อให้เห็นว่าเป็นรูปคน รูปต้นไม้ รูปต่างๆ นานา แต่ผมกลับคิดว่าคุณสมบัติเดิมของดินที่เราเห็นมีความลึกซึ้งมากกว่าแค่การนำไปเป็นสีเพื่อเขียนรูปภาพ ผมจึงนำดินไปวางบนเฟรม และในกระบะ แล้วดูแลดินด้วยการพรมน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื่น ผมค่อยๆ ทำไปในแต่ละวัน ทำเรื่อยๆ เป็นกิจวัตร เหมือนเกษตรกรดูแลพืชที่เขาเพาะปลูก สิ่งที่ปรากฏคือมีต้นไม้บางชนิดงอกขึ้นมา เพราะในดินมีเมล็ดพันธุ์ไม้ต่างๆ อยู่ เมื่อต้นไม้เติบโต ผมจึงถือว่านี่คืองานจิตรกรรมของผม เป็นจิตรกรรมแท้จริงของธรรมชาติ เกิดจากการมีส่วนร่วมของผมกับคนอื่นๆ และของลม อากาศ น้ำ และความชื้น ผมตั้งชื่อว่า จิตรกรรมมีชีวิต และเนื่องจากผมนำดินมาจากจังหวัดตรัง ผมจึงต้องการให้มีพันธุ์ไม้ของจังหวัดตรังเติบโตบนดินที่นำมาด้วย ผมปลูกต้นลูกเนียง และเหลียง ตั้งใจปลูก แต่ต้นไม้อื่นๆ ที่งอกขึ้นมาคือสิ่งที่อยู่ในดินเดิมอยู่แล้ว เช่น เห็นว่ามีกระถินงอกออกมาด้วย แสดงว่าในธรรมชาตินั้นมีบางอย่างที่เราจงใจสร้างขึ้น แต่บางอย่างก็เกิดขึ้นมาเอง แสดงว่าเราไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ทั้งหมด ซึ่งสะท้อนว่าในสังคมของเรานั้นมีสิ่งที่เราปรารถนาและไม่ปรารถนาอยู่เสมอ บางอย่างมีประโยชน์กับเรา แต่บางอย่างไม่มีประโยชน์กับเรา แต่เขาก็อยู่ร่วมกันเสมอ เราไม่สามารถควบคุมได้ตามใจเรา
l งานอีกชิ้นแสดงถึงการแตกระแหงของดิน เป็นแผ่นขนาดต่างๆ และรูปทรงต่างๆ จะเห็นว่าดินมีสีนวลๆ สีที่เห็นไม่ได้มาจากการใส่สีเข้าไปใช่ไหมครับ
ผศ.ดร.สมพร : ไม่ได้ใส่สีใดๆ ลงไปครับ มันคือสีของดิน ดินมีความพิเศษคือถ้าผมนำดินที่ยังมีความเปียกแฉะไปวางบนเฟรม เมื่อดินถูกอากาศ และอยู่บนสิ่งแวดล้อมต่างกัน ก็จะให้ลักษณะที่ปรากฏต่างกัน เช่น ดินที่ได้ความชื่นจากน้ำก็จะมีความนิ่มและผสมเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะมีน้ำเป็นตัวเชื่อมส่วนดินที่อยู่รอบๆ ซึ่งไม่ได้ความชื่นจากน้ำก็จะแตกระแหง และมีสีแตกต่างไปจากดินที่มีความชื่น ผมมองว่านี้คือการกระทำของมนุษย์ต่อธรรมชาติ หากเราดูแลธรรมชาติดี ธรรมชาติก็จะอุดมสมบูรณ์เป็นเหมือนการหล่อหลอมกล่อมเกลาของสังคมที่มีต่อสมาชิกสังคม เช่น คนเราจะดีได้ก็ต้องอยู่ในสังคมที่ดี เพราะได้รับอิทธิพลจากสังคมในการหล่อหลอมความเป็นคน ผมเชื่อว่าเราร่วมกันสร้างสังคมที่ดีได้ เมื่อสังคมดี เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย นิทรรศการของผมในครั้งนี้ผมเห็นว่ามีรสชาติครับ เปรียบเหมือนเรากินอาหารแล้วต้องกินของหวานตาม เพื่อล้างปากตามคำของคนโบราณ จากงานนี้จะเห็นว่ารสชาติของงานเห็นได้จากความแตกต่างของดิน เช่น ดินที่ชุ่มชื่น และดินที่แห้งแล้ง แต่มันคือความเป็นจริงของสังคมที่มีสภาพแวดล้อมต่างกัน เหมือนกลางวันคู่กับกลางคืน หรือหยินหยาง คนบางคนไม่เข้าใจธรรมชาติพยายามฝืนธรรมชาติ แต่สุดท้ายก็ได้รับความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง หากเราเคารพธรรมชาติเราจะมีความสุขไปตามสภาวะของธรรมชาติ ธรรมชาติมีฤดูกาล คนโบราณดำรงชีวิตสอดคล้องกับฤดูกาล ไม่ทำอะไรที่ขัดธรรมชาติ ชีวิตก็จึงมีความสุขไปตามวิถีของธรรมชาติ เมื่อเราอยู่กับธรรมชาติต้องเรียนรู้ธรรมชาติ ต้องเคารพธรรมชาติ และดูแลรักษาธรรมชาติ การสัมผัสธรรมชาติต้องใช้สติต้องจดจ่อกับธรรมชาติ เป็นเสมือนการทำสมาธิในชีวิตจริง
คุณจะได้พบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความรู้ รายการ ไลฟ์ วาไรตี ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ NBT กดหมายเลข 2และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ไลฟ์ วาไรตี