เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
ตรัง – หนุ่มใหญ่ชาวเมืองตรังยกมือไหว้ทั้งน้ำตาประกาศขายไต 1 ข้าง เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ธนาคารและอื่นๆ ราว 5 แสนบาท หลังภรรยาถูกต้นไม้ริมถนนทางหลวงหักตีศีรษะแตก-กระดูกสันหลังหัก จนทำงานไม่ได้นาน 4 ปีแล้ว
นายวิรัฐ นุ่นใหม่ อายุ 47 ปี พร้อมด้วย นางแก้วทิพย์ คำรณ อายุ 44 ปี สองสามีภรรยา ซึ่งมีลูกสาว 2 คน โดยคนโตเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ ในสาขาเคมี ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.19 ส่วนลูกสาวคนเล็ก กำลังขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งที่ผ่านมาก็เรียนเก่งได้เกรดเฉลี่ย 3 กว่าเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันทั้ง 4 ชีวิตอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าเลขที่ 23 หมู่ 10 ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง และครอบครัวกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจนหาทางออกไม่ได้ ซึ่งนายวิรัฐ ผู้เป็นสามีเคยคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย เพราะมีปัญหาหนี้สินรวมทั้งหมดประมาณ 5 แสนบาท แบ่งเป็นหนี้สินที่กู้ยืมเงินมาจากธนาคาร 2 แห่ง คือธนาคารออมสิน ประมาณ 2 แสนบาท และธนาคาร ธกส. โดยการนำหลักทรัพย์โฉนดที่ดินไปค้ำประกันเพื่อกู้เงินอีกประมาณ 2.3 แสนบาท รวมทั้งหนี้สินที่ยืมมาจากเพื่อนบ้าน และเงินกู้นอกระบบ
เดิมทีครอบครัวนี้มีหนี้สินประมาณ 2 แสนบาทเท่านั้น และสามารถทำงานหาเงินไปผ่อนชำระได้ไม่มีปัญหาใด จนกระทั่งเมื่อปี 2547 จู่ๆ นางแก้วทิพย์ ผู้เป็นภรรยา ก็มาประสบอุบัติเหตุต้นไม้ริมถนนของแขวงทางหลวงตรัง เส้นทางระหว่างเมืองตรัง จะกลับบ้านที่ ต.น้ำผุด หักโค่นลงมาทับศีรษะ จนทำให้ศีรษะแตกเย็บ 8 เข็ม แต่แรงกระแทกทำให้ระบบเส้นประสาทที่ศีรษะกระทบกระเทือนอย่างแรง กระดูกสันหลังหัก สลบไม่ได้สติ จนมาฟื้นที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นก็พักรักษาตัว และกลับมารักษาต่อที่บ้าน แต่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานาน 3 เดือน ต่อมาเดินได้ แต่ไม่สามารถทำงานได้ และต้องไปหาหมอ มีค่าใช้จ่ายทุกครั้ง จนตอนนี้ไม่มีเงินจะไปหาหมอแล้ว
ซึ่งหลังเกิดเหตุครอบครัวนี้ได้ไปยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อแขวงทางหลวงตรัง เจ้าของต้นไม้ริมทาง และถูกขอร้องไม่ให้ไปแจ้งความเอาผิด ก่อนให้เงินช่วยเหลือมา จำนวน 10,000 บาท หลังจากนั้น นางแก้วทิพย์ ผู้เป็นภรรยา ก็ทำงานไม่ได้มานานร่วม 4 ปี โดยผู้เป็นสามีต้องเป็นคนทำหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพัง ซึ่งมีทั้งค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่ารักษาพยาบาลภรรยา และค่าเล่าเรียนลูก โดยเฉพาะเมื่อปี 2560 ลูกสาวคนโตต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ต้องใช้เงินจำนวนมาก ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสินมากขึ้น และไม่สามารถผ่อนชำระได้ จนถูกธนาคารออมสินฟ้องร้อง และไกล่เกลี่ยกัน ต้องผ่อนให้ธนาคารเดือนละ 2,000 บาท แต่ยังมีหนี้สินรอบตัวจำนวนมาก รวมทั้งรถกระบะมือ 2 ที่ซื้อมาใช้บรรทุกปาล์มน้ำมัน ก็ติดค้างจนไม่สามารถผ่อนได้
โดยขณะนี้นายวิรัฐ ผู้เป็นสามี ทำงานเป็นยามรักษาความปลอดภัยที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือนๆ ละ 10,500 บาท ส่วนผู้เป็นภรรยาก็พยายามออกไปกรีดยางเพื่อหาเงินช่วยครอบครัว แต่ก็ต้องหยุด เพราะอาการทางระบบสมองกำเริบ ทั้งปวดหัว คลื่นไส้ ขาอ่อนแรง หัวใจเต้นเร็ว และหากมีเสียงดังรบกวนมากก็จะปวดหัว หรือไม่สามารถอยู่ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านได้ เช่น ตลาดนัด งานศพ ทำให้ครอบครัวนี้เดือดร้อนอย่างหนักจากหนี้สินที่รุมเร้า โดยเฉพาะห่วงว่าจะถูกยึดที่ดิน ส่วนรถกระบะซึ่งยังผ่อนไม่หมด แต่ได้นำไปจำนำไว้ จึงไม่สามารถนำรถมาคืนบริษัทได้ เกรงว่าจะถูกจับดำเนินคดี
ล่าสุดนายวิรัฐ ผู้เป็นสามี ได้ออกมาวอนทั้งน้ำตาผ่านสื่อมวลชนไปถึงผู้ใจบุญได้ตัดสินใจซื้อไตของตนเอง จำนวน 1 ข้าง จะเอาไปบริจาคต่อชีวิตให้ใครก็ได้ เพื่อให้ตนได้มีเงินมาใช้หนี้ และให้ลูกได้เรียนหนังสือจนจบ เพราะขณะนี้ลูกสาวคนโตอยู่ระหว่างเตรียมหางานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัว แต่ติดสถานการณ์โควิด-19 ส่วนลูกสาวคนเล็กก็เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือมาก จึงอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ แม้ว่าหากขายไตไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เงินจำนวนเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิต และทำงานได้ตามปกติหรือไม่ แต่ก็อยากจะขายเพื่อนำเงินมาปลดหนี้ และไว้ให้ลูกได้เรียนหนังสือต่อไป โดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 096-996-2736
ขณะที่นางแก้วทิพย์ ผู้เป็นภรรยา ก็ได้ออกมาพูดทั้งน้ำตาว่า ตนเองไม่รู้ว่าหากสามีขายไตไปแล้วจะมีชีวิตได้ตามปกติ ทำงานได้ตามปกติหรือไม่ แต่ก็ต้องตัดสินใจ และได้คิดกันมาสักระยะแล้ว เห็นว่าเป็นวิธีเดียวที่จะหาทางออกเรื่องหนี้สินให้กับครอบครัวได้ จึงไม่ขัดใจสามีเพราะอยากให้หนี้สินหมดไป และลูกได้เรียนหนังสือ อีกทั้งการขายไตเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ได้รบกวนคนอื่น เนื่องจากหนี้สินเป็นเรื่องที่พวกตนร่วมกันสร้างมา ก็อยากจะแก้ไขด้วยตัวเอง และจำเป็นต้องทำ เพราะหาทางออกอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ







