ศบค.เผย 23 จังหวัดติดเชื้อโควิด “Small Wave” ขอให้พื้นที่ช่วยกันลดตัวเลขลง ขณะที่ 54 จังหวัดแนวโน้มลด ด้านนายกฯ ขอให้ประชาชนฟังข้อมูลจาก ศบค. และสธ. เพื่อความเข้าใจ เหตุมีสื่อหลากหลาย และนักวิชาการอาจให้ข้อมูลทั้งสอดคล้อง และไม่สอดคล้อง
เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 แถลงข่าวภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ถึงสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทย ว่า รายงานสถานการณ์โควิดในไทยผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 2,144 ราย หายป่วยแล้ว 1,946 ราย ขณะที่ผู้ป่วยรักษาในรพ. สะสม 25,082 ราย โดยตัวเลขน่าสนใจ คือ อาการหนัก 763 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 327 ราย อัตราครองเตียงในระดับ 2-3 ประมาณ 11.90% ซึ่งตรงนี้ท่านนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเรื่องการติดเชื้อที่มีการออกข่าวจากหลากหลายสื่อ รวมทั้งนักวิชาการที่ให้ข้อมูล ซึ่งอาจมีทั้งสอดคล้องและขัดแย้ง
โดยท่านนายกฯ กล่าวในการประชุมว่า หน้าที่หลักของทาง ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการสธ. ก็ขอความร่วมมือ ขอให้ฟังจากทางศบค.เกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้
“จากข้อมูลสัปดาห์ที่ 26 มีผู้ป่วยเข้าระบบ “เจอ แจก จบ” ประมาณ 207,643 คน หรือวันละ 29,000 คนทั่วประเทศ แต่อาการกลุ่มนี้ไม่ได้หนัก ซึ่งจะแยกกับตัวเลขการรักษาใน รพ. ข้อมูลเหล่านี้นี่คือ ความเป็นจริง แต่ตัวเลขผู้ป่วยปอดอักเสบในสัปดาห์นี้ แนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการสธ. ระบุว่ายังมีเตียงรองรับเพียงพอ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว และว่า แม้เสียชีวิตรายสัปดาห์จะน้อยลง แต่ท่านนายกฯ ไม่อยากให้เกิดขึ้น จึงขอให้กลุ่มเสี่ยง 608 มาฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า แนวโน้มค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อจะพบว่า มี 54 จังหวัดแนวโน้มลดลง แต่ยังมี 23 จังหวัดที่ขาขึ้น และสมอลเวฟ (small wave) บางจังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต จะเห็นว่าโดยเฉพาะภูเก็ตยอดพุ่งขึ้นสูง ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ กรุงเทพปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว เช่นเดียวกันกับเชียงใหม่ ระยอง ตาก สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี นครปฐม พระนครศรีอยุธยา สงขลา กระบี่ พังงา นราธิวาส ตรัง ปัตตานี และยะลา
“ทั้ง 23 จังหวัดขอความกรุณาประชาชนในพื้นที่ช่วยกัน ในการลดยอดตัวเลขเวฟเล็กๆ ให้ลดลงให้ได้” โฆษก ศบค. กล่าว
*สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
