Print this page
กรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์ประเทศไทยผ่านจุดสูงสุด กทม.ปริมณฑลแนวโน้มโควิดลดลง ฉีดวัคซีนครอบคลุมมากขึ้น ส่วนพื้นที่ใต้ที่กำลังระบาด อยู่ระหว่างบริหารจัดการเต็มที่ เสริมวัคซีนไฟเซอร์กู้วิกฤต ล่าสุดไทยฉีดวัคซีนสะสมแล้วกว่า 65 ล้านโดส ส่วนการระบาดยังพบเป็นคลัสเตอร์ย่อยๆ
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. นพ.เฉวตสรร นามวาท ผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงจับตาสถานการณ์โควิด 19 ก่อนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิดรักษาหาย 10,612 ราย มากกว่าติดเชื้อใหม่ที่พบ 10,111 ราย เสียชีวิต 63 ราย โดยเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีและมีโรคเรื้อรัง 94% กำลังรักษา 107,226 ราย ผลการตรวจ ATK 32,472 ตัวอย่าง พบผลบวก 1,612 ราย คิดเป็น 5% ภาพรวมการติดเชื้อลดลงแต่เริ่มมีความทรงตัว พื้นที่ติดเชื้อเกิน 100 รายยังใกล้เคียงเดิมทุกวัน
กรมควบคุมโรคประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินรวบรวมรายละเอียดพื้นที่มา พบว่า หลายพื้นที่ยังมีคลัสเตอร์ติดเชื้อรายใหม่ขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่ติดเชื้อจำนวนมากๆ แต่เป็นจุดย่อยๆ เช่น ตลาดที่จันทบุรี 43 ราย , แคมป์ก่อสร้างที่จันทบุรี 3 ราย ระยอง 29 ราย , ล้งผลไม้จันทบุรี 2 ราย , ร้านอาหารจันทบุรี 6 ราย , สถานศึกษาที่ตรัง 7 ราย ฉะเชิงเทรา 7 ราย ลพบุรี 5 ราย , สถานที่ทำงานเดียวกัน สุรินทร์ 4 ราย ลำพูน 11 ราย พิจิตร 7 ราย และงานศพ ลำพูน 2 ราย ขอนแก่น 3 ราย เลย 4 ราย สระแก้ว 4 ราย กาญจนบุรี 9 ราย เป็นต้น
ทั้งนี้ การจะอยู่ร่วมกับโควิด 19 อย่างปลอดภัยและเปิดเมือง เราไม่ได้ดูตัวเลขการติดเชื้ออย่างเดียว แต่ดูหลายอย่างประกอบกัน เช่น ผู้ป่วยอาการหนักปอดอักเสบรักษาใน รพ. หากระบบรองรับได้ดี แม้การติดเชื้อมีการแกว่งตัวบ้างอาจไม่ใช่ประเด็นข้อบ่งชี้ให้หยุดมาตรการ หลายประเทศการติดเชื้อกลับมาสูงขึ้น แต่ก็ยังเปิดประเทศรับผู้เดินทางต่อเนื่อง จึงต้องติดตามต่อเนื่องว่าแต่ละพื้นที่มีการป่วยหนักเท่าไร เปิดประเทศแล้วแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ รวมถึงการใส่เครื่องช่วยหายใจและการเสียชีวิตด้วย ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยอาการหนักปอดอักเสบและใส่เครื่องช่วยหายใจลดลงตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มีการประชุมร่วมกันแล้วว่าหากเปิดประเทศแล้วติดเชื้อ มีการนอน รพ.เยอะขึ้นถึงประมาณไหนจะต้องตอบรับหรือปรับมาตรการอย่างไรให้เหมาะสม แต่จะเข้มมาตรการป้องกันติดเชื้อ เพราะหากการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอาจทำให้สัดส่วนผู้ป่วยหนักและใส่เครื่องช่วยหายใจเพิ่มขึ้นได้
“สถานการณ์ประเทศไทยผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว กทม.ปริมณฑลแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ฉีดวัคซีนครอบคลุมมาก พื้นที่ใต้ที่กำลังระบาด กำลังพยายามบริหารจัดการดูแลเต็มที่ มีทีมส่วนกลางดูแลและเสริมวัคซีนไฟเซอร์ลงไป ซึ่งเป็นคนละส่วน ไม่กระทบเป้าหมายการฉีดนักเรียน ทั้งนี้ เมื่อผ่อนคลายมีกิจกรรมต่างๆ ขอให้ป้องกันเต็มที่สูงสุดตลอดเวลา ซึ่งเราอาจสบายใจเกินไป เห็นแนวโน้มไม่น่ากังวล หรืออาจเห็นเกิดขึ้นพื้นที่อื่นไกลจากเราก็อย่าเพิ่งวางใจ อย่าการ์ดตกป้องกันสูงสุดตลอดเวลาทุกที่และทุกคน สถานประกอบกิจการจัดมาตรการ COVID Free Setting เราจะปลอดภัยไปด้วยกัน เพราะการติดเชื้อที่สูงขึ้น ” นพ.เฉวตสรรกล่าว
นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า ส่วนการฉีดวัคซีนวันที่ 17 ต.ค. เพิ่มขึ้น 475,053 โดส สะสม 65,677,794 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 37.6 ล้านราย คิดเป็น 52.3% เข็มสอง 36.2% และเข็มสาม 2.7% ส่วนนักเรียนอายุ 12-17 ปี ฉีดแล้ว 1.13 ล้านราย คิดเป็น 25.3% ขณะนี้มีผู้ปกครองแสดงความจำนงเพิ่มเติมเข้ามา วัคซีนไฟเซอร์มีการกระจายวันนี้พรุ่งนี้จะถึงครบถ้วนในการฉีดเข็ม 1 จะไม่มีประเด็นว่าที่ใดได้วัคซีนน้อยกว่าที่แจ้งเข้ามา ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 17 จังหวัด ฉีดเข็มแรกแล้ว 72.9% โดย กทม. ภูเก็ต ชลบุรี สมุทรปราการ ฉีดได้สูง ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะฉีดเพิ่มขึ้นตามมา กลุ่ม 608 เข็มแรกฉีดได้ 73.5% ส่วน 10 จังหวัดจับตามอง (Watch List) ฉีดเข็มแรก 45% ดังนั้น สิ้นเดือนนี้ต้องเร่งฉีดให้ถึงเป้าหมาย 50% ขณะนี้เรายังใช้วัคซีนไขว้ สูตรซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าเป็นสูตรหลัก แต่แอสตร้าฯ อาจไม่ได้ส่งตามจำนวนบ้าง แต่ก็ใกล้เคียง เพื่อป้องกันปัญหาขาดตอน คณะกรรมการวิชาการเสนอ ศบค.เห็นชอบสูตรซิโนแวค-ไฟเซอร์ เพื่อให้ช่วงที่แอสตร้าฯ ตึงมือ มาช้ากว่ากำหนดหรือต่ำกว่าจำนวนคาดประมาณ ซึ่งเรื่องปกติในภาวะฉุกเฉินที่เน้นมาตรฐานปลอดภัยสูงสุด อาจส่งล่าช้าบ้างก็มีสูตรซิโนแวค-ไฟเซอร์ใช้ได้
สามารถกดติดตาม และแชร์ข่าวสำนักข่าว Hfocus ที่ https://www.facebook.com/Hfocus.org
Hfocus ปิดการแสดงความคิดเห็นท้ายข่าว/บทความ
สำนักข่าว Hfocus มีความจำเป็นต้องปิดการแสดงความคิดเห็นในเนื้อหาที่นำเสนอ เนื่องจากที่ผ่านมามีการเผยแพร่ข้อความที่ไม่เหมาะสมในช่องแสดงความคิดเห็นดังกล่าว อาทิ การโฆษณาขายสินค้าที่สุ่มเสี่ยงต่อกฎหมาย การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล ชื่อ นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ ด้วยความเข้าใจผิด หรือเพื่อเป็นการกลั่นแกล้ง แม้จะลบข้อความดังกล่าวออกไปจากระบบเว็บไซต์ของสำนักข่าว Hfocus แล้ว แต่ก็ยังมีข้อความบางส่วนปรากฎอยู่ในฐานข้อมูลของ Google โดยต้องแจ้งให้ Google เป็นผู้ดำเนินการลบข้อความดังกล่าว
คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม